8/20/2566

[Skyrim] ว่าด้วย Daedric Princes และ Daedric Quests

เอนทรี่นี้เป็นส่วนหนึ่งของเพจ
 
 
หากจะเอาไปลงที่อื่น กรุณาใส่ credit นะคะ ถึงเราจะทำด้วยใจรักก็เหอะ...
 
 

ว่าด้วย Daedric Princes และ Daedric Quests

เทพของ The Elder Scrolls มีอยู่ 2 แบบหลักๆคือ Aedra และ Daedra โดยเทพ Aedra จะถือเป็นเทพฝ่ายดี (อย่างเทพ Shor ที่เราจะเจอตอนเควสหลัก) แต่เทพฝ่าย Daedra ที่เรียกกันว่า Daedric Princes นั้นจะเป็นเทพที่ทำตามใจตัวเองเอามากๆ และ ส่วนใหญ่นิสัยเสีย... บางครั้งจึงเรียกว่าเทพปิศาจ

อนึ่ง... Daedra จริงๆเป็นเพียงสิ่งมีชีวิตศักดิ์สิทธิ์ประเภทหนึ่ง... และแบ่งแยกย่อยได้อีกหลายประเภท... เช่น Dremora ซึ่งเป็น Daedra แบบมนุษย์ หรือ Atronach ที่เป็น Daedra ธาตุที่พวก Conjurer เรียกมาใช้กัน

แต่เทพ Daedric Princes คือ Daedra ที่ทรงพลังมากๆ และถือเป็นจ้าวแห่ง Daedra ทั้งมวล มีทั้งหมด 16 องค์(ตน) ในที่นี้เจ้าของบล็อกจะเรียงตามตัวอักษรนะคะ

 

 

** สำหรับคนที่จะทำ Achievement / Trophy ที่ชื่อ Oblivion Walker ต้องรวบรวม Daedric Artifact 15 ชิ้นนะคะ (ทำเควสของทุกองค์ ยกเว้น Nocturnal ที่ไม่นับ)

** ถ้าใช้ทริคเอา 2 อย่างจาก Hircine จะต้องทำแค่ 14 เควส เพราะ Savior's Hide และ Ring of Hircine ทำให้นับเป็น 2

** ขอย้ำอีกรอบว่า "Skeleton Key ไม่นับเป็น Daedric Artifact ของ Oblivion Walker" นะคะ ถ้าไม่เอาไปคืนที่เดิม ก็ไม่ต้องคิดจะเป็นหัวหน้ากิลด์โจรค่ะ เพราะมันบังคับ **

 

 

1. Azura - Daedric Prince of Dawn and Dusk, Mother of the Rose, Queen of the Night Sky

Azura เป็นเทพปิศาจที่มีภาพพจน์ที่ดี... และเป็นที่เคารพบูชาของเหล่า Dark Elf (Dunmer)

เทพธิดาแห่งท้องฟ้ายามราตรีผู้นี้มีอาณาเขตของตัวเองชื่อ Moonshadow (เงาจันทร์) มีวังดอกกุหลาบของตัวเองอยู่ที่นั่น และมีพวก Winged Twilight เป็นข้ารับใช้ ตัว Azura เองเป็นศัตรูกับ Nocturnal และมีสัมพันธภาพที่ดีกับ Molag Bal

Daedric Quest: The Black Star (ไม่จำกัดเลเวลตัวละคร)

Daedric Artifact: Azura's Star หรือ Black Star

บทสรุปเควส The Black Star

เควสนี้บางครั้งจะเริ่มจากการที่ NPC บอกข่าวลือเรื่อง Shrine of Azura ให้เรา แต่ตัวเควสจริงๆเริ่มที่ตัวสถานที่บูชาเอง ซึ่งพอเราไปถึงแล้วให้เดินขึ้นไปคุยกับ Aranea Ienith เขาจะบอกว่า Azura รู้อยู่แล้วว่าเรากำลังมาที่นี่ แล้วจะบอกให้เราไปหานักเวทย์เอลฟ์ที่ Aranea เห็นในนิมิต ให้เดินทางไปที่โรงแรม Frozen Hearth ในเมือง Winterhold แล้วคุยกับ Nalacar ซึ่งจะปฏิเสธที่จะบอกแหลกจนกว่าเราจะเอาเงินทุบหัวหรือขู่หมอนี่ เขาจะพูดถึงอดีตอาจารย์ของ College of Winterhold ที่ชื่อ Malyn Varen ซึ่งศึกษา Azura's Star แต่ต่อมาดันศึกษามากเกินจนไปฆ่านักเรียนตายเลยโดนไล่ออก พอคุยเสร็จเราจะต้องไปที่ Ilinalta's Deep ทางเหนือของทะเลสาบ Ilinalta ซึ่งอยู่ทางเหนือของเมือง Falkreath โครงสร้างของดันเจี้ยนเป็นป้อมปราการ เส้นทางไม่ซับซ้อนมาก แต่เต็มไปด้วยพวก Necromancer ให้ลุยดันเจี้ยนฝ่าไปหลังเดินผ่านอุโมงค์เราจะไปโผล่ที่อีกตึกของป้อม แล้วลุยขึ้นไปจนถึงด้านในสุด(แต่จริงๆคือข้างบนสุด) จะเจอศพของ Malyn Varen พร้อม Azura's Star ที่พังเพราะการทดลอง หลังเก็บมาแล้ว เราจะมีตัวเลือกว่าจะเอา Azura's Star หรือ เอา Black Star

  • เอา Azura's Star ให้เดินทางกลับไปที่แท่นบูชาของ Azura แล้วคุยกับ Aranea เขาจะเอา Azura's Star ที่พังไป แล้วให้เราสำรวจแท่นบูชาเพื่อคุยกับ Azura แล้วเราจะต้องเข้าไปข้างใน Azura's Star เพื่อจัดการวิญญาณของ Malyn Varen ให้คุยเมื่อพร้อม แล้วเราจะเข้าไปลุยกับ Malyn Varen
  • ถ้าจะเอา Black Star ให้กลับไปหา Nalacar เขาจะเอา Azura's Star ไปตรวจสอบ หลังตรวจเสร็จเขาจะบอกว่าเราจะต้องเข้าไปจัดการ Malyn Varen ข้างใน ให้คุยกับเขาแล้วตอบว่าพร้อม เพื่อเข้าไปลุยกับ Malyn Varen

พอเข้าไปจะเจอ Malyn Varen ที่กระหายอยากกินวิญญาณต่อมากๆ แต่สักพักจะรู้ตัวว่าเพชฌฆาตมาเยือน แล้วจะพยายามวิ่งหนีเรา พร้อมเรียกพวก Dremora มาสู้กับเรา (ในแง่นึงก็เป็นที่ฟาร์ม Daedra Heart เพราะพวก Dremora ดรอป แต่อีกแง่นึงเราจะม่องเอาเพราะพวกนี้ตีแรงมาก) พอจัดการ Malyn Varen เสร็จเราจะกลับออกมาข้างนอก คุยให้เรียบร้อย แล้วเราจะได้ดาวที่เราเลือกไว้

** Azura's Star คือ Grand Soul Gem ที่ไม่มีวันแตก และชาร์จวิญญาณลงได้หลังใช้แล้ว ใส่วิญญาณได้เกือบทุกชนิดยกเว้นวิญญาณมนุษย์

** Black Star คือ Black Soul Gem ที่ไม่มีวันแตก และชาร์จวิญญาณลงได้หลังใช้แล้ว ใส่วิญญาณได้ทุกชนิดในเกม

 

 

2. Boethiah - Daedric Prince of Deciet, Conspiracy, secret plots of murder, assassination, treason, and unlawful overthrow of authority

เทพปิศาจแห่งการหลอกลวง การวางแผน แผนฆาตกรรม การลอบฆ่า การทรยศ และ การโค่นล้มอำนาจอย่างไม่เป็นธรรม ดูเหมือนจะถูกมองเป็นเทพนิสัยดีซะได้... เนื่องจาก Boethiah ถูกมองเป็นเป็นพันธมิตรกับเทพ Stendarr ซึ่งเป็น 1 ใน เทพศักดิ์สิทธิ์ของ Tamriel

อาณาเขตของ Boethiah คือ Attribution Share สนามประลองนองเลือดส่วนตัวที่ Boethiah ชอบจัด Tounament of Ten Bloods ซึ่งก็สมชื่อมันคือ... สู้ 9 ยกต่อเนื่อง เพราะเราคือ 1 ใน Blood พวกนั้น

Boethiah ไม่ถูกกับ Molag Bal และมักจะเอาสาวกมาแข่งกันเนืองๆ แต่เหมือนจะชอบให้สาวกไปตายโดยเปล่าประโยชน์พิกล...

Daedric Quest: Boethiah's Calling (เลเวลขั้นต่ำ 30)

Daedric Artifact: Ebony Mail

บทสรุปเควส Boethiah's Calling

เควสนี้อาจจะได้มาก่อน ถ้าเราเดินๆอยู่แล้วจู่ๆเจอคนมาไล่ฆ่า ซึ่งพอจัดการเสร็จอ่านกระดาษในศพแล้วพบว่าเป็น Boethiah's Proving แต่จะไปรับที่แท่นบูชาของ Boethiah ก็ได้ พอเดินทางไปถึงจะเจอเหล่าสาวกของ Boethiah กำลังสู้กันอยู่ ให้คุยกับ Priestess of Boethiah เขาจะให้เราไปหาคนมาสังเวยพร้อมให้ Blade of Sacrifice มา ให้ไปพาคนติดตามที่ไม่ชอบหน้าเท่าไหร่มา สั่งให้ผู้ติดตาม Activate เสา Pillar of Sacrifice (คุยกับผู้ติดตาม เลือก "I need you to do something." แล้วหันไปเลือกเสา) จากนั้นลงมือเชือดซะ แล้ว Boethiah จะมาสิงร่างผู้ติดตามเรา จากนั้นจะต้องสู้กับสาวกของ Boethiah ทั้งหมด หลังจัดการจนหมด Boethiah จะให้เราไปสู้กับสาวกอันดับหนึ่งของเขา ที่ Knifepoint Ridge ซึ่งอยู่ทางเหนือของ Falkreath หลังจากกำจัดตัวสาวกอันดับหนึ่งพร้อมลูกน้อง ให้หยิบเกราะ Ebony Mail จากศพสาวกอันดับ 1 มาใส่ แล้ว Boethiah จะพูดกับเราอีกครั้ง และจะจบเควส

 

 

3. Clavicus Vile - Daedric Prince of granting of power and wishes through ritual invocations and pact

เทพปิศาจผู้ชอบเหลือเกินที่จะล้อเล่นกับมนุษย์ ทั้งการสัญญาว่าจะให้พลัง หรือ ทำให้คำขอสมปรารถนา ด้วยพิธีกรรม ตัวสัตว์เลี้ยงของ Clavicus Vile นามว่า Babas เองก็เป็นเครื่องมือแกล้งชั้นเยี่ยมของ Clavicus Vile แต่ในครั้งนี้ เหมือนนายกับบ่าวมีปัญหากันรึเปล่า?

อาณาเขตของ Clavicus Vile นั้นไม่มีชื่อ แต่ว่ากันว่า หน้าตาเหมือนชทบทแสนสุข แต่เมฆบนฟ้าสีผิดเพี้ยน อากาศก็เต็มไปด้วยกลิ่นเน่าเหม็น และประชากร Daedra ก็ล้วนแต่มีผิวสีเหลืองประหลาดๆ

Daedric Quest: A Daedra's Best Friend (เลเวลขั้นต่ำ 11)

Daedric Artifact: Mask of Clavicus Vile (Rueful Axe ไม่นับ)

บทสรุปเควส A Daedra's Best Friend

พอเดินทางไปที่เมือง Falkreath ยามจะเดินมาถามเราว่าเห็นหมาไหม? หลังคุยเสร็จให้เดินไปคุยกับ Lod ช่างตีเหล็กในเมือง เขาจะขอให้ช่วยหาหมาของเขาให้หน่อยแล้วจะให้เนื้อมาด้วย ให้เปิดมาร์กเกอร์แล้วเดินไป พอไปถึงจะเจอหมา Babas เดินมาคุยกับเรา ขึ้นกับตัวเลือก Babas จะไปรอเราที่ Haemar's Shame หรือ เดินนำทางเราไปที่ Haemar's Shame ซึ่งอยู่ ทางตะวันออกของเมือง Helgen พอไปถึงแล้วเข้าไปในดันเจี้ยนจะพบว่าดันเจี้ยนนี้เต็มไปด้วยแวมไพร์ ให้จัดการซะให้หมดแล้วเข้าไปข้างในจะเจอแท่นบูชาของ Clavicus Vile ซึ่งเขาจะให้เราไปเอาขวาน Rueful Axe มาจาก Rimerock Barrow ให้ไปจัดการเคลียร์ดันเจี้ยน แล้วหยิบมาซะ พอกลับมาที่วิหารของ Clavicus Vile เขาจะให้ตัวเลือกเราว่าให้ใช้ขวานฆ่าหมาซะ หรือ จะไม่ฆ่าหมา แล้วบอกให้ Clavicus Vile เอาขวานไปซะ ซึ่งถ้าเลือกไม่ฆ่า เราจะได้ Mask of Clavicus Vile มา แต่ถ้าฆ่า เราจะได้ขวาน Rueful Axe แทน

** ถ้าทำเควสนี้ถึงที่ต้องไปเอาขวาน หมา Babas จะคอยตามเราตลอดและไม่มีวันตาย ใครอยากได้ผู้ติดตามพันธุ์โฮ่งโหดๆก็อย่าไปทำเควสนี้จนจบละกัน

** ระวังไว้ด้วย Mask of Clavicus Vile เท่านั้นที่นับเป็น Daedric Artifact ถ้าจะทำ Achievement / Trophy "Oblivion Walker" ต้องเลือกไม่ฆ่า Babas

 

 

4. Hermaeus Mora - Daedric Prince of scrying of the tides of Fate, of the past and future as read in the stars and heavens, and in whose dominion are the treasures of knowledge and memory

เทพปิศาจผู้เฝ้ามองกระแสแห่งชะตากรรม ทั้งอดีตหรือปัจจุบัน อันมองเห็นได้ในดวงดาวและสรวงสวรรค์ และมีขุมทรัพย์แห่งปัญญาอันเป็นเลิศ เป็นพี่น้องกับเทพปิศาจ Mephala และไม่เคยปรากฏตัวในร่างมนุษย์เลย

Hermaeus Mora อาศัยอยู่ในอาณาเขตของตนเองนามว่า Apocrypha ซึ่งเป็นห้องสมุดขุมทรัพย์ทางปัญญาที่ไม่มีวันสิ้นสุด แต่เทพปิศาจผู้มีขุมทรัพย์แห่งปัญญานี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีศัตรู เพราะ Hermaeus Mora กับ Vaermina เข้ากันไม่ได้เสียเลย

Daedric Quest: Discerning the Transmundane (เลเวลขั้นต่ำ 15)

Daedric Artifact: Oghma Infinium

บทสรุปเควส Discerning the Transmundane

เควสนี้ถ้าเล่นเควสหลักจนเลยส่วนนี้ของเควส Elder Knowledge แล้วให้ข้ามเนื้อหาสีเขียวไปเลยนะคะ

เควสนี้จะเริ่มด้วยการไปคุยกับ Septimus Signus ที่ Septimus Signus's Outpost ทางเหนือของวิทยาลัยเวทย์ College of Winterhold เขาจะขอร้องให้เราช่วยงานเขาหน่อย แล้วจะให้ Attunement Sphere กับ Blank Lexicon มา

ตอนนี้เราเลือกได้ว่าจะไปโบราณสถานของพวก Dwemer (โบราณสถานของพวกดวาร์ฟ หรือ เดมเมอร์) อันใดอันหนึ่งใน 3 อัน คือ Alfthand , Mzinchaleft หรือ Raldbthar

โบราณสถานดวาร์ฟนั้น เป็นดันเจี้ยนขนาดใหญ่(มากๆ) มีหลายโซน แต่ข้อดีคือ เส้นทางตรง และไม่ซับซ้อน แต่ศัตรูข้างในอาจจะเป็นปัญหาสักหน่อย นอกจากเราจะเจอพวกหุ่นกลไกที่พวกนั้นสร้างไว้แล้ว ข้างในยังมีพวก Falmer พร้อมทั้ง Chaurus (หน้าตาคล้ายๆตะขาบผสมแมงป่อง ยิงพิษได้เหมือนแมงมุม) ด้วย ให้ระวัง Dwarven Centurion ให้ดี เพราะตีหนักมากๆ และยังไงก็ต้องสู้กับมัน

เนื่องจากดันเจี้ยนเลือกได้ จึงขอข้ามเนื้อหาย่อยในดันเจี้ยนไป แต่ถ้าเราเข้าไปถึงส่วนลึกสุดของดันเจี้ยน (มักจะเป็นห้องที่ ข้างหน้ามีลิฟท์) ให้สังเกตดูทางซ้ายทางขวา จะมีกลไก Dwarven Mechanism อยู่ ให้กดสำรวจ เราจะเอา Attunement Shere เสียบเข้าไป แล้วจะมีทางไปต่อลงไปที่ Blackreach

พอเราไปถึง Blackreach ให้ไปที่ Tower of Mzark (จะมีลูกศรชี้ ถ้าเปิด Marker ไว้) พอเราเข้าไปแล้วให้ขึ้นไปข้างบน จะเจอแผงกลไก มีปุ่ม 4 ปุ่ม ให้กดสำรวจ เราจะเอา Blank Lexicon ใส่ลงไป แล้วตอนนี้ก็จะเป็นการกดปุ่มไปเรื่อยๆ (ปุ่มนับจากซ้ายไปขวา 1 - 2 - 3 - 4)

ให้เรากดปุ่มที่ 3 ก่อน กดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งปุ่มที่ 2 ส่องแสงขึ้นมา ตอนนี้ย้ายไปกดปุ่มที่ 2 แทน กดไปเรื่อยๆเหมือนกัน จนกว่าปุ่มที่ 1 จะส่องแสง หลังจากนั้นกดปุ่มที่ 1 แล้วแคปซูลที่บรรจุ Elder Scroll จะโผล่ออกมา ตอนนี้ให้เราเก็บ Lexicon (ซึ่งตอนนี้จะกลายเป็น Transcribed Lexicon ไปแล้ว) แล้วเดินลงไปเก็บ Elder Scroll จากแคปซูล กลับออกไปข้างนอก (ถ้าเกิดเราดันกดมั่วไปแล้ว ก็มั่วปุ่มไปเลยนะคะ แต่หลักการเดียวกันคือ ต้องให้ปุ่มส่องแสงก่อน)

(ตั้งแต่ตรงนี้ไป ต้องเลเวล 15 ถึงจะทำได้)

ให้กลับไปหา Septimus เขาจะเอา Transcribed Lexicon ไป แล้วเขาจะให้เราช่วยไปรวบรวมเลือดของเผ่าเอลฟ์ทั้งหลาย รวมถึงออร์ค และ ฟาลเมอร์ ด้วย พอเราจะเดินออกจากห้องทดลองเขา เราจะเจอ Hermaeus Mora แบบมิติบิดเบี้ยวซึ่งจะบังคับเราให้ทำตาม (เพราะตัวเลือกบังคับ) จากนั้นก็จะยอมให้เราออกไป

** เพื่อประหยัดเวลา เจ้าของบล็อกแนะนำให้ไปที่ Liar's Retreat ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง Solitude (ทางตะวันตกเฉียงเหนือของ Broken Tower Redoubt) ซึ่งจะมีของแทบทุกเผ่าที่เราต้องการยกเว้นแค่ High Elf ซึ่ง High Elf ง่ายๆเลยคือ ไปที่สถานฑูต Thalmor แล้วเชือดสักตัว เก็บเลือด หรือ ไปที่ Pine Watch ในห้องใต้ดินหลังทางลับ จะเจอศพอดีตเจ้าของบ้านที่เป็น High Elf

หลังเก็บเลือดทุกเผ่าที่ต้องการครบให้กลับไปคุยกับ Septimus เขาจะเอาไปเปิดกล่องที่เขาทดลองอยู่ แล้วพอเห็นว่าข้างในไม่ใช่ของที่เขาต้องการเขาจะสลายไปเพราะ Hermaeus Mora ไม่ต้องการเขาแล้ว แล้วเทพปิศาจก็จะยกหนังสือ Oghma Infimium ที่อยู่ในกล่องที่ Septimus เปิดให้เรา พอหยิบหนังสือก็จะจบเควส

** หนังสือ Ogmha Infinium เวลาเปิดใช้แล้วจะให้เราเลือกอัพสกิล 1 ใน 3 สาย คือ Might (สายต่อสู้), Magic (สายเวทย์) และ Shadow (สายโจร) ซึ่งพอเลือกแล้วหนังสือจะเพิ่มสกิลในสายนั้นทุกสกิลให้สกิลละ 5 เลเวลค่ะ (ใช้ได้ครั้งเดียว ถ้าไม่ใช้บั๊กโกง เพราะหนังสือจะสลายหายไปเลย หรืออยู่ แต่ไม่มีให้เลือกสายแล้ว เพราะโดนแก้ตอนแพทช์ 1.3)

 

 

5. Hircine - Daedric Prince of the Hunt, the Sport of Daedra, the Great Game, the Chase, known as the Huntsman and the Father of Manbeasts

เทพปิศาจแห่งการล่า ชอบกีฬา ชอบความสนุก ชอบการไล่ล่า และ เป็นบิดาแห่งมนุษย์หมาป่าทั้งหมดใน Tamriel อาณาเขตของ Hircine คือ Hircine's Hunting Grounds ซึ่งเป็นพื้นที่ป่าขนาดใหญ่และเต็มไปด้วยหมีดุและสัตว์ร้าย ส่วนข้ารับใช้ของ Hircine คือ ฝูงมนุษย์หมาป่าที่สิ้นชีวิตไปแล้วนั่นแล

Daedric Quest: Ill met by Moonlight (ไม่จำกัดเลเวลตัวละคร)

Daedric Artifact: Ring of Hircine หรือ Savior's Hide

บทสรุปเควส Ill met by Moonlight

(ทำหรือไม่ก็ได้) ไปที่เมือง Falkreath ตรงหลุมฝังศพจะมีพ่อแม่เด็กที่กำลังเศร้า ให้คุยกับพ่อเด็ก เขาจะบอกเรื่องมนุษย์หมาป่าที่ชื่อ Sinding ที่ฆ่าลูกสาวเขาไปแล้วตอนนี้ถูกขังอยู่ในป้อมยามเมือง Falkreath

ให้เราไปคุยกับ Sinding ในป้อมยามเมือง Falkreath เขาจะพูดเรื่อง Ring of Hircine ซึ่งว่ากันว่าจะทำให้ควบคุมพลังมนุษย์หมาป่าได้ แต่ดูเหมือนเขาจะโดนสาปเพราะขโมยแหวนมา แทนที่จะคุมพลังได้ กลายเป็นคลั่งกว่าเดิมแทน ให้ช่วยเขา แล้วเราจะได้แหวน Cursed Ring of Hircine มา ให้ยืนดูสักพัก Sinding จะแปลงร่างแล้วปีนกำแพงแหกคุกออกไป (ถ้าไม่ยืนดูบางครั้งจะติดบั๊ก) หลังจากนั้นให้เปิดมาร์กเกอร์ แล้วเดินไปทางตะวันออกของ Falkreath จะเจอกวางขาว ให้จัดการฆ่ามันซะ แล้วจิตวิญญาณของ Hircine จะโผล่มาคุยกับเรา แล้วเขาจะให้เราไปช่วยล่าที่ Bloated Man's Grotto ใกล้ทะเลสาบทางเหนือของเมือง Falkreath

พอเข้าไปเราจะมีทางเลือก 2 ทางค่ะ

  • ช่วย Sinding จัดการพวกพรานที่มาล่าเขาให้หมด พอจัดการเสร็จคุยกับเขา แล้วกลับออกไปนอกถ้ำคุยกับ Hircine ในสภาพกวางขาว เขาจะแก้คำสาปแหวนให้ แล้วเราจะได้ Ring of Hircine มา
  • ช่วยพวกพรานรุมกินโต๊ะ Sinding ตามที่ Hircine สั่ง พอจัดการ Sinding ได้ ให้สำรวจศพแล้วถลกหนังตามที่ Hircine สั่ง แล้ววิญญาณ Hircine ในสภาพคนจะโผล่มา เอาแหวนต้องสาปไป แล้วเปลี่ยนหนังของ Sinding เป็นหนึ่งใน Artifact ของ Hircine ชื่อ Savior's Hide แล้วยกเกราะ Savior's Hide ให้เรา

 

ทางเลือกที่ 3 ตูโลภ มีอะไรไหม??? (สำหรับแพทช์ก่อน 1.9 เท่านั้น แพทช์ล่าสุดใช้ไม่ได้แล้ว)

พอเข้าไป ให้คุยกับ Sinding แล้วช่วย Sinding กวาดพวกพรานให้หมด แล้วคุยกับ Sinding จากนั้นฆ่า Sinding ถลกหนังซะ แล้วรีบวิ่งย้อนทางออกไปข้างนอก คุยกับกวางขาวเพื่อเอา Ring of Hircine แล้วกลับไปข้างใน คุยกับ Hircine ภาควิญญาณ เพื่อเอา Savior's Hide

 

Update

อัพเดทแจ้งจากคุณ Tee นะคะ ว่าแพทช์ล่าสุดยังสามารถทำได้ แต่ต้องวิ่งออกไปข้างนอกก่อน คุยกับ Hircine ร่างกวางเอาแหวน จากนั้นกลับเข้าไปข้างใน ฆ่า Sinding ถลกหนัง แล้วคุยกับ Hircine ร่างคนเพื่อเอา Savior's Hide แทน ขั้นตอนเปลี่ยนหน่อยๆค่ะ

 

 

6. Malacath - Daedric Prince of patronage of the spurned and ostracized, the keeper of the Sworn Oath, and the Bloody Curse

เทพปิศาจผู้ปกครองของผู้ถูกปฏิเสธและผู้โดนเนรเทศที่เหล่าออร์คบูชา เนื่องจากว่ากันว่ายามเทพ Malacath กำเนิดขึ้น เหล่าข้ารับใช้ของ Trinimac...วิญญาณที่กลายเป็นเทพ Malacath ได้กลายเป็นบรรพบุรุษของเหล่าออร์คในปัจจุบัน Malacath มีสัมพันธภาพที่ดีกับ Mephala และดูเหมือนจะไม่มีศัตรูอะไรเป็นพิเศษ

อาณาเขตของ Malacath คือ Ashpit ซึ่งว่ากันว่าสมชื่อมันคือ เต็มไปด้วยฝุ่นขี้เถ้า วังเต็มไปด้วยควัน การจะอยู่ที่นี่ได้ต้องหายใจด้วยเวทย์กันสถานเดียว แม้สภาพไม่น่าดู แต่ในอาณาเขตนี้ก็มีสวนไม้สวยงามอยู่

Malacathเคร่งสัญญามาก และเกลียดพวกทำตัวอ่อนแอไม่เข้าเรื่องที่สุด จึงเป็นที่มาของเควสภาคนี้แล...

Daedric Quest: The Cursed Tribe (เลเวลขั้นต่ำ 9)

Daedric Artifact: Volendrung

บทสรุปเควส The Cursed Tribe

ให้เดินทางไปที่ Orc Stronghold ชื่อ Largashbur ทางตะวันตกเฉียงใต้ของ Riften ติดแนวภูเขา จะเจอยักษ์กำลังสู้กับออร์คกลุ่มนึงข้างหน้าทางเข้า ให้เข้าไปช่วย เสร็จแล้วนักเวทย์บนกำแพงที่ชื่อ Atub จะคุยกับเราแล้วขอให้เราช่วยหา Troll Fat กับ Daedra Heart อย่างละอันมาให้เขาหน่อย พอเอามาให้ Atub จะ ให้เราตามเขาไป ซึ่ง Atub จะไปคุยกับ Yamarz หัวหน้าของที่นี่ แล้วจะเดินออกมาทำพิธีข้างนอกด้วยกัน ซึ่งจะได้ยิน Malacath โวย Yamarz แบบสาดเสียเทเสีย แล้วสั่งให้ Yamarz ไปฆ่ายักษ์ที่บุกรุกวิหารของ Malacath ซะแล้วเอากระบองมันมาเซ่น Malacath พอฟังจบ แล้ว Yamarz จะบังคับเราไปด้วยเพราะเราดันเป็นต้นเหตุให้มันต้องไปทำแบบนั้น (อ้าว)

ให้ตาม Yamarz ไปที่ Fallowstone Cave เขาจะบอกให้เราเคลียร์ทางให้ เพราะจะเก็บแรงไว้สู้กับยักษ์ ให้จัดการศัตรูแล้วตาม Yamarz ไปเรื่อยๆ จะไปถึงพื้นที่ Giant's Grove ที่ยักษ์อยู่ แล้ว Yamarz จะคุยกับเราอีกครั้งและมีตัวเลือกว่าจะให้ Yamarz ไปฆ่ายักษ์เอง หรือ เราจะฆ่ายักษ์ให้ (แต่จริงๆคือ ถ้าฆ่าให้ ไอ้ Yamarz ก็จะพยายามฆ่าเราอยู่ดี ปิดปาก) ยังไงเราก็ต้องฆ่ายักษ์อยู่ดี ให้ฆ่ายักษ์ซะ แล้วหยิบกระบองมันมา (กระบองชื่อ Shagrol's Hammer) ฟัง Malacath พูด เสร็จแล้วกลับไปที่ Lagashbur

พอไปถึง Lagashbur ไปคุยกับ Atub เขาจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นกับ Yamarz จะตอบจริงๆ หรือ จะโกหกก็ได้ แล้วเขาจะให้เราเอากระบองยักษ์วางบนแท่นบูชา จากนั้น ฟัง Malacath สั่งว่าให้ใครขึ้นเป็นหัวหน้าแทน Yamarz แล้วพอพูดจบจะจบเควส กระบองยักษ์ก็จะกลายเป็น Volendrung ให้เราหยิบไปใช้ได้

 

 

7. Mehrunes Dagon - Daedric Prince of Destruction, Change, Revolution, Energy, and Ambition

เทพปิศาจแห่งการทำลายล้าง ความเปลี่ยนแปลง การปฎิวัติ พลัง และ ความทะเยอทะยาน ผู้สร้างตำนานสะท้านสะเทือนมาในภาคที่แล้ว (Oblivion) หลังจากทำซะ Cyrodil แทบเปลี่ยนเป็นนรกของจริงบนดิน เหตุผลที่ทำเรื่องตอนภาคที่แล้วไม่มีใครทราบ แต่ก็ทำซะจักรพรรดิ Dragonborn คนสุดท้ายสูญพันธุ์เลยทีเดียว

Mehrunes Dagon อาศัยอยู่ในอาณาเขตของตัวเองชื่อ Deadlands อย่างที่เห็นตอนเล่นภาคที่แล้ว คือ เต็มไปด้วยหนาม ลาวา และมี Dremora, Clannfear และ Scramp เต็มไปหมด...

Daedric Quest: Pieces of the Past (เลเวลขั้นต่ำ 20)

Daedric Artifact: Mehrunes' Razor

บทสรุปเควส Pieces of the Past

 หลังจากเลเวลถึง 20 จะมีคนส่งสารวิ่งเอาใบปลิวของพิพิธภัณฑ์ในเมือง Dawnstar มาให้ เสร็จแล้วให้เดินทางไปเมือง Dawnstar ไปที่ บ้านของ Silus Vesuius จะเจอเหตุการณ์ Silus ถกกับนักเวทย์หญิง ให้รอจนถกเสร็จ Silus จะเชิญเราเข้าไปชมบ้านเขาซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ตอนนี้ แล้วจะขอให้เราช่วยเขารวบรวมชิ้นส่วน Mehrunes' Razor ที่แยกเป็น 3 ส่วนให้หน่อย

  • ส่วนแรกอยู่ที่ Dead Crone Rock ดันเจี้ยนทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง Markarth  ซึ่งจะไปถึงได้ต้องฝ่าดันเจี้ยน Hag Rock Redoubt เข้าไป พอฝ่าเข้าไปถึงในสุดจะเจอ Hagraven ชื่อ Drascua ให้จัดการซะ แล้วเก็บชิ้นส่วนมา (บนโต๊ะใกล้ๆจะมีหิน Stone of Barenziah อยู่ด้วย)
  • ส่วนที่สองอยู่ที่ Cracked Tusk Keep ทางตะวันตกของเมือง Falkreath ให้ลุยดันเจี้ยนเข้าไปอัดกับหัวหน้าโจรชื่อ Ghunzul แล้วเก็บชิ้นส่วนมา
  • ส่วนที่สาม อยู่ที่ เมือง Morthal ให้ไปคุยกับ Jorgen แล้วจะกล่อม / ขู่ / ติดสินบน ก็ได้ ให้เขาพูดออกมาเรื่องชิ้นส่วน แล้วเขาจะให้กุญแจมา เสร็จแล้วไปที่บ้านเขา (Jorgen and Lami's House) เปิดหีบหยิบชิ้นส่วนได้

หลังได้ครบ 3 ชิ้นให้กลับไปหา Silus ซึ่งถ้าเราเก็บมา 3 ชิ้นรวด เขาจะเพิ่มเงินรางวัลให้เราด้วย จากนั้นเขาจะให้เราไปเจอเขาที่แท่นบูชาของ Mehrunes Dagon ซึ่งพอเราไปถึง เราจะต้องสำรวจแท่นบูชา แล้ว Mehrunes Dagon จะสั่งให้เราฆ่า Silus ให้ฆ่าซะ แล้ว Mehrunes Dagon จะให้ Mehrunes' Razor แบบสมบูรณ์มา พร้อมเรียก Dremora 2 ตัวเพื่อทดสอบเราเป็นขั้นสุดท้าย ให้ฆ่าซะแล้วเก็บกุญแจมา แล้วจะจบเควส

** กุญแจจาก Dremora เอาไว้เปิดทางเข้าตัววิหารที่อยู่ใต้รูปบูชาของ Mehrunes Dagon พอเข้าไปจะต้องสู้กับ Dremora อีก 2 ตัว แต่ข้างในนี่สมบัติเยอะอยู่ แถมได้ Daedra Heart จากไอ้ 2 ตัวนี่ด้วย

** Silus จะขอให้ไว้ชีวิตเขาโดยจ่ายเรา 500 (ถูกจังฟะ!?) แล้วเขาจะเอา Mehrunes' Razor แบบไม่ได้ซ่อมไปเก็บไว้ในตู้พิพิธภัณฑ์เอง จะได้ไม่มีใครตาย แต่ก็นะ... จะเอา Daedric Artifact มันต้องมีใครสังเวยชีพสิฟะ (ฮา)

 

 

8. Mephala - Daedric Prince whose only consistent theme seems to be interference in the affairs of mortals for her amusement

เทพปิศาจผู้เต็มไปด้วยปริศนา ไม่มีใครทราบนักว่า Mephala ชอบทำอะไร แต่ดูเหมือนจะชอบจุ้นเรื่องของมนุษย์เพื่อความสะใจของตัวเองมากกว่า

อาณาเขตของ Mephala นั้นไม่เคยมีมนุษย์คนใดเข้าไปได้ เนื่องจากมันยุ่งเหยิงเหมือนใยแมงมุมที่ถักทอจนไม่รู้จะแกะยังไง

Daedric Quest: The Whispering Door (เลเวลขั้นต่ำ 20)

Daedric Artifact: Ebony Blade

บทสรุปเควส The Whispering Door

ให้ไปคุยที่โรงแรมในเมือง Whiterun ถามหาข่าวลือ เขาจะบอกว่าลูกชายคนเล็กของ Jarl Balgruuf ทำตัวแปลกๆ จากนั้นให้ไปคุยกับ Jarl Balgruuf the Greater เขาจะยอมรับ แล้วจะให้ไปคุยกับลูกชายเขาที่ชื่อ Nelkir ซึ่งพอไปคุยแล้ว Nelkir จะพูดอะไร(ที่ไม่ควรพูด)มาเพียบไปหมด แล้วจะพูดถึงประตูพูดได้ใต้ปราสาท ซึ่งเขาบอกว่าเขาแน่ใจว่า หญิงสาวเจ้าของเสียงต้องคุยกับเราด้วยแน่ๆ

ให้เดินลงไปทางบันไดทางซ้าย จากโถงกลางของวัง ผ่านครัวลงไป จะเจอประตูล็อค ให้สำรวจแล้ว Mephala จะคุยกับเรา แล้วให้เราหากุญแจของประตู ให้กลับไปคุยกับ Nelkir เขาจะบอกว่ากุญแจอยู่กับพ่อเขา Jarl Balgruuf และ Farengar ซึ่งเป็นพ่อมดประจำวัง

จัดการล้วงกระเป๋าตบกุญแจ Whispering Door Key มาซะ แล้วไปไขห้อง จะเจอดาบ Ebony Blade ตอนนี้ Mephala จะอธิบายว่า ดาบนี้พลังหายเพราะขาดการดื่มเลือดนานเกินไป ถ้าจะให้พลังกลับมาเท่าเดิม ต้องให้อาบเลือดของคนที่เชื่อใจเรา (ผู้ติดตาม ว่างั้น) จากนั้นจะยกดาบนี้ให้เราแล้วจะจบเควส

 

 

9. Meridia - Daedric Prince who is associated with the energies of living things

Meridia เองก็เป็นเทพปิศาจที่เต็มไปด้วยปริศนา และเกี่ยวเนื่องกับพลังงานของสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ว่ากันว่าพวก Spriggan คือ ข้ารับใช้และผู้คุ้มครองของ Meridia และ Meridia เกลียดพวก Undead เอามากๆ ไม่ว่าจะอดีตหรือปัจจุบัน และมักรบกวนตัวผู้เล่นไปจัดการให้เสมอ

อาณาเขตของ Meridia คือ Colored Room ซึ่งรวมอาณาจักรย่อยภายใต้อาณัติของ Meridia ไว้ด้วยกัน และมีพวก Auroran Daedra อาศัยอยู่

Meridia เป็นศัตรูกับ Molag Baal และไม่ทราบว่าเป็นมิตรกับใครบ้าง

Daedric Quest: The Break of Dawn (เลเวลขั้นต่ำ 12)

Daedric Artifact: Dawn Breaker

บทสรุปเควส The Break of Dawn

** กรณีที่เราไปเจอ Meridia's Beacon ก่อน ให้ข้ามอักษรเขียวไปนะคะ

ให้เดินทางไปที่ Statue to Meridia ทางตะวันตกของเมือง Solitude พอไปถึง Meridia จะคุยกับเรา แล้วจะให้เราไปหา Meridia's Beacon ตอนนี้ให้เปิดมาร์กเกอร์เพราะสถานที่จะสุ่ม ให้ไปเอามา แล้วกลับมาที่รูปปั้นของ Meridia

ให้วาง Meridia's Beacon ที่หน้ารูปปั้น แล้ว Meridia จะจัดการบังคับขู่เข็ญให้เราไปช่วยจัดการล้างบางอันเดดในวิหารให้หน่อย และ ทำให้พลังคุ้มครองของ Meridia ในวิหารคืนมาด้วย จากนั้นพอเรากลับมาเป็นอิสระ ให้เดินลงไปข้างล่าง เข้าไปในดันเจี้ยน Kilkreath Temple (เข้าได้ครั้งเดียวในเควสนี้เท่านั้น)

พอเข้าไปให้ไปตามทาง สักพักจะเจอที่ประตูกั้นเหล็กทางขวา ที่ไปต่อไม่ได้ ให้กลับหลังหันไปหาประตูไม้ สะเดาะกลอนมันซะ เจอเจอสวิทช์ จัดการสับแล้วที่กั้นจะเปิดให้ไปเก็บหีบได้ จากนั้นก็ไปต่อเข้าไปข้างใน จะเห็นแสงที่ Meridia ส่งมาอยู่ที่กลางห้อง ให้เดินไปสำรวจแท่น แล้วตัวสะท้อนจะเลื่อนขึ้นมาสะท้อนไปเหนือประตูทางขวาของห้องให้เราไปต่อได้

หลังจากตรงนี้เราจะเจอศัตรูแล้ว เป็นพวก Corrupted Shade ให้จัดการให้หมด แล้วไปต่อ จะเจออีกจุดที่แสงของ Meridia ไปต่อไม่ได้ ให้สำรวจเหมือนเดิม แล้วเดินตรงไปต่อ ไปตามทางเหมือนเดิม จนไปถึงห้องต่อไป

ห้องนี้จุดสะท้อนจะอยู่ตรงกลางห้องข้างบน ให้จัดการศัตรูในห้อง แล้วเดินขึ้นบันไดอ้อมไป ก่อนสำรวจแท่น ให้ไขกุญแจห้องใกล้ๆก่อน จะเจอสวิทช์ ให้สับซะเพื่อเปิดกระตูลูกกรงเหล็กข้างๆ ไปเอาหีบ จากนั้นค่อยสำรวจแท่นซึ่งจะเปิดประตูฝั่งตรงข้ามให้เราไปต่อได้

ไปตามตามทางเราจะออกมาข้างนอกตรง Kilkreath Balcony ให้เดินขึ้นไปเข้า Kilkreath Ruins ต่อ (ระหว่างทางมีหีบด้วยก่อนเข้า Kilkreath Ruins) เดินไปตามทาง จะเจอห้องที่ต้องสำรวจแท่นเหมือนเดิม ให้จัดการศัตรูซะ สำรวจแท่นแล้วแสงจะส่องไปอีกแท่นนึงซึ่งเราต้องไปสำรวจ ให้เดินเข้าห้องใกล้ๆอ้อมไป ระหว่างทางจะมีสมบัติ พอไปใกล้สุดทางจะเจอสวิทช์ ให้สับซะแล้วเดินเข้าทางเดินข้างบนที่มีโครงเหล็กไป จะเจอศัตรูอีก ให้จัดการซะ แล้วโดดไปสำรวจแท่น แล้วโดดกลับมาเข้าประตูทางขวา (ข้างเก้าอี้) เพื่อไปต่อ

ห้องต่อไปจะเจอศัตรู 2 ตัว พร้อมทางขึ้นบันไดสองทาง ทางขวาคือทางไปต่อ ซึ่งพอสำรวจศพเก็บของเสร็จก็ให้ไปทางนั้น ไปตามทางจะไปโผล่ที่ห้องแรก ข้างหน้าเราคือแท่นสุดท้าย ให้สำรวจแล้วประตูกลางห้องก็จะเปิด ให้โดดลงดีๆ แล้วเข้าประตูไปที่ Kilkreath Catacombs

เดินไปตามทางจะเจอแท่นให้สำรวจอีกแท่น จากนั้นพอไปต่อจะเจอ Malkoran พร้อมลูกน้อง ให้จัดการให้หมด แล้ว Meridia จะพูดกับเรา ให้ค้นศพให้หมดแล้วเดินไปหยิบ Dawn Breaker จากแท่น แล้วเราจะไปคุยกับ Meridia แบบวิวสวยอีกครั้ง ตอบดีๆ จากนั้นก็จะจบเควส

 

 

10. Molag Bal - Daedric Prince of domination and enslavement of mortals; whose desire is to harvest the souls of mortals and to bring mortals souls within his sway by spreading seeds of strife and discord in the mortal realms

Molag Bal เป็นเทพปิศาจที่บ้าการฆ่าฟันมาก ชอบความกลัวของมนุษย์เหนือสิ่งอื่นใด และต้องการสร้างความกลัวในสังคมมนุษย์เป็นอย่างยิ่ง อาณาเขตของ Molag Bal คือ Coldharbour ซึ่งว่ากันว่าเป็นโลกก็อปปี้เลยทีเดียว แต่สภาพนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง ตึกรามบ้านช่องถูกทำลาย พื้นดินเป็นพื้นโคลน ท้องฟ้ามีเพลิงลุก แต่อากาศกลับหนาวเข้ากระดูก

Molag Bal จริงๆมีลูกด้วย เป็นลูกสาวชื่อ Molag Grunda เป็น Winged Twilight แต่ลูกสาวดันไปหลงรัก Atronach ที่ไม่ควรรักซะได้ Molag Bal เลยเนรเทศลูกลงนรกไปเลย ลงโทษตลอดกาล

Daedric Quest: The House of Horrors (เลเวลขั้นต่ำ 7)

Daedric Artifact: Mace of Molag Bal

บทสรุปเควส The House of Horrors

ตอนกลางคืน พอเดินผ่านบ้านร้างในเมือง Markarth จะเจอ Vigilant Tyranus เดินมาถามเราว่าเราเห็นคนออกมาจากบ้านนี้บ้างไหม จะตอบยังไงก็ได้ เขาจะขอให้เราช่วยเขาสำรวจบ้านนี้ ก็ให้ตามเขาไป (** เซฟก่อนเข้า เพราะมีคนเจอบั๊กติดอยู่ในบ้าน ออกไม่ได้มาแล้ว)

พอเข้าไปก็ให้ตาม Tyranus ไปเรื่อยๆ แล้วสักพักจะเกิดเหตุการณ์ แล้วจะมีเสียง Molag Bal พูดในหัวว่าให้ฆ่า Tyranus ซะ แล้ว Tyranus จะมาโจมตีเราเพราะเขาไม่อยากตาย (เขาก็ได้ยินเสียงเหมือนกัน) ให้จัดการซะแล้วเดินตามทางเข้าไปข้างในสุดจะเจอแท่นบูชา ให้กดสำรวจแล้วเราจะโดนขังกรง จากนั้นก็ต้องคุยกับ Molag Bal ผ่านกรง คุยเสร็จเขาจะปล่อยเรา แต่เราต้องไปลากไอ้สาวกของ Boethiah ที่ชื่อ Logrolf the Willful มา

ให้เปิดมาร์กเกอร์เพราะสถานที่จะสุ่ม พอไปถึง ลุยดันเจี้ยน แล้วเข้าไปคุยกับ Logrolf จะเลือกอะไรก็ได้ แล้วตานี่จะรีบวิ่งไปเมือง Markarth

พอเรากลับไปที่บ้านร้าง เข้าไปจนถึงแท่นบูชา จะเจอ Logrolf กำลังทำพิธี แต่จะเจอ Molag Bal จับขังกรงทันที จากนั้น Molag Bal จะใช้เรา ให้ใช้กระบองทุบจน Logrolf ยอมแพ้ แล้วกระบอง Mace of Molag Bal จะคืนสภาพกลับมามีพลังเหมือนเดิม แล้วตอนนี้ Molag Bal จะสั่งอีก ให้เราทุบ Logrolf ให้ม่องไปซะ ทำตาม แล้ว Molag Bal จะยกกระบองให้เรา พร้อมยกบ้านร้างนี้ให้เราด้วย

 

 

11. Namira - Daedric Prince of ancient Darkness; known as the Spirit Daedra, ruler of sundry dark and shadowy spirits; associated with spiders, insects, slugs, and other repulsive creatures which inspire mortals with an instinctive revulsion

Namira คือ เทพปิศาจแห่งความมืดมาตั้งแต่ยุคโบราณ ผู้ปกครองวิญญาณที่มืดมน และ ถูกแผดเผา โดย Namira จะเกี่ยวข้องกับพวกสัตว์หรือแมลงที่มนุษย์มองว่าน่าขยะแขยง สาวกของ Namira จะอยู่อย่างสงบและสมถะ แต่จะทำตัวสกปรก และ จะปฏิเสธทุกความช่วยเหลือที่พยายามจะช่วยพวกเขาให้มีชีวิตดีขึ้น

Daedric Quest: The Taste of Death (ไม่จำกัดเลเวล)

Daedric Artifact: Ring of Namira

บทสรุปเควส The Taste of Death

ให้เราไปที่วัง Understone Keep ในเมือง Markarth เดินไปทางซ้ายไปที่หน้า Hall of the Dead จะเจอ Brother Verulus ให้คุยกับเขา เขาจะขอให้เราช่วยสำรวจ Hall of the Dead หน่อย พอเข้าไปจะได้ยินเสียง แล้วจะเจอ Eola เขาจะคุยกับเรา แล้วจะมีตัวเลือก (อย่าเลือกตัวเลือกที่ 3 เพราะ Eola จะโจมตีเรา แล้วเราจะไม่มีทางอื่นนอกจากฆ่าเขา แล้วเควสก็จะทำไม่ได้ไป) คุยเสร็จให้กลับไปคุยกับ Verulus แล้วเราจะต้องเดินทางไปที่ Reachcliff Cave

พอไปถึง Reachcliff Cave จะเจอ Eola อยู่ข้างหน้าถ้ำ จะมีตัวเลือกว่าจะลุยด้วยกันหรือเราลุยเดี่ยว เลือกเสร็จก็จัดการเคลียร์ถ้ำซะ พอเข้าไปถึงข้างในสุดจะเจอแท่นบูชา Namira ซึ่ง Eola จะขอบคุณเรา แล้วขอให้เราไปลาก Verulus มาที ให้เดินออกจากถ้ำตรงทางลัด กลับไปที่ Markarth แล้วกล่อม หรือ ติดสินบนให้เขามาด้วย จากนั้นพอพามาถึง Eola จะจัดการกล่อมจน Verulus ไปนอนบนแท่น แล้วเราจะต้องฆ่า Verulus แล้วก็ เอิ่ม... 1 คำ... แล้ว Namira จะพูดกับเรา แล้วให้แหวน Ring of Namira มา แล้วเราจะสามารถให้ Eola เป็นผู้ติดตามเราได้

 

 

12. Nocturnal - Daedric Prince of the night and darkness; who is known as the Night Mistress

Nocturnal คือ เทพปิศาจแห่งราตรี และ ความมืด และเป็นเทพอุปถัมป์ของสมาคมโจร ว่ากันว่าที่สมาคมโจรตกต่ำกันปานนี้ก็เพราะ Nocturnal ไม่โปรดแล้ว

เดิมที Nocturnal มีอาณาเขตมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือ Evergloam ที่เข้าได้ทาง Ebonmere ใน Twilight Sepulcher (เดิมทีมี Shade Perilous อีกแห่ง แต่เจอ Mehrunes Dagon ตีแย่งไปตอนเนื้อเรื่องภาค Battle Spire)

Daedric Quest: Darkness Retuens (เป็นส่วนหนึ่งของเนื้อเรื่อง Thieves Guild ไปอ่านในเอนทรี่ Thieves Guild นะคะ)

Daedric Artifact: Skeleton Key

 

 

13. Peryite - Daedric Prince of the ordering of the lowest orders of Oblivion, known as the Taskmaster

Peryite คือ เทพปิศาจแห่งการรักษากฎในสังคมล่างๆของนรก บางครั้งก็ถูกเรียกว่า ผู้ควบคุมงาน แต่ตัว Peryite ก็ชอบก่อโรคระบาด โดยสาวกของ Peryite มักจะมีโรคร้ายแรงติดอยู่แทบทุกคน

อาณาเขตของ Peryite อยู่ล่างสุดของนรก เต็มไปด้วยเพลิง และ มืดมน คล้ายๆกับเขตของ Mehrunes Dagon

Peryite ไม่ชอบหน้าทั้ง Namira และ Mephala และดูเหมือนจะไม่มีความสัมพันธ์ฉันมิตรกับ Daedric Prince อื่นๆ

Daedric Quest: The Only Cure (เลเวลขั้นต่ำ 10)

Daedric Artifact: Spellbreaker

บทสรุปเควส The Only Cure

บางครั้งเวลาเราเดินๆอยู่ จะเจอ Afflicted Refugee ซึ่งพอคุยแล้วเขาจะแนะให้เราไปหา Kesh ที่แท่นบูชาของ Peryite ให้เดินทางไปสถานที่บูชา Peryite ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง Markarth (ทางใต้ของ Dragontooth Crater) จะเจอ Kesh the Clean ให้คุยแล้วเลือก "May I commune to Peryite?" เขาจะพูดถึงยาที่ต้องใช้ ให้เลือก "Tell me about this incense" เขาจะบอกให้เราไปเอา Deathbell Flower, Silver Ingot, Flawless Ruby และ Vampire Dust อย่างละอันมาให้เขา ให้ไปหามาให้ แล้วคุยกับ Kesh เขาจะทำยาแล้วเอาไปวางหน้าแท่นบูชา ให้เราเดินไปสำรวจเพื่อสูดยา แล้ว Peryite จะคุยกับเรา ระหว่างนี้จะมีตัวเลือก เลือกยังไงก็ได้ Peryite จะให้เราไปฆ่าอดีตสาวกของเขาชื่อ Orchendor ในโบราณสถานดวาร์ฟชื่อ Bthardamz

ให้ไปที่ Bthardamz ทางเหนือของเมือง Markarth ติดแนวภูเขาซ้ายสุดของแผนที่ จะเจอพวกติดโรคเต็มไปหมด ให้ระวังด้วยเพราะพวกนี้จะเป็นชาวบ้านธรรมดา แต่การโจมตีจะทำให้เราติดพิษ ให้ลุยดันเจี้ยนซึ่งค่อนข้างเป็นทางตรงผ่าน Bthardamz Workshop, Bthardamz Lower District จนไปถึง Bthardamz Arcanex ซึ่งพอเข้าไปแล้วให้เข้าไปข้างในสุด จะเจอ Orchendor จัดการซะ แล้วสำรวจศพหยิบกุญแจ Elevetor Key จากนั้นขึ้นลิฟท์กลับออกไปข้างนอก เพื่อกลับไปที่แท่นบูชา Peryite

พอกลับไป ให้ไปสูดยาอีกรอบเพื่อคุยกับ Peryite พอคุยกันจบ เราจะได้โล่ Spellbreaker มา

 

 

14. Sanguine - Daedric Prince of hedonistic revelry and debauchery, and passionate indulgences of darker natures

Sanguine คือ Daedric Prince เจ้าสำราญ เสเพล ชอบแสวงหาความสนุกสนาน รวมถึงชอบถลำไปด้านมืดด้วย ยิ่งกว่านั้น ดูเหมือน Sanguine จะเกลียดสาวกของเทพี Mara เข้าไส้ด้วย

อาณาเขตของ Sanguine ว่ากันว่ามีอยู่นับแสนแห่ง... แต่ดูเหมือนจะเอาไว้หาความสำราญส่วนตัวมากกว่า...

Daedric Quest: A Night to Remember (เลเวลขั้นต่ำ 14)

Daedric Artifact: Sanguine Rose

บทสรุปเควส A Night to Remember

หลังเลเวลเราเกิน 14 เวลาเราเดินไปเข้าบาร์เหล้าหรือโรงแรม จะเจอ Sam Guevenne ซึ่งจะท้าเราดวลเหล้า ให้รับคำท้า ซึ่งเราจะดวดเหล้าชนะ แต่จากนั้นก็จะตัดเข้าจอดำแล้วเราจะฟื้นอีกทีที่ Temple of Dibella ซึ่ง Priestess of Dibella ชื่อ Sena จะเป็นคนปลุกเรา ตอนนี้จะมีตัวเลือก ซึ่งขึ้นกับว่าเราเลือกอันไหนไป ว่าเราจะต้องเก็บกวาดขยะในโบสถ์ ก่อนแล้วเขาจะบอกเราว่าต้องไปที่ไหน หรือ เราจะไปได้เลยถ้าเรากล่อมเขาดีๆ ซึ่งยังไงก็ตามแต่ เราต้องไป Rorikstead ต่อ

พอไปถึง Rorikstead ให้เดินไปหา Ennis เขาจะเข้ามาโวยว่าเราขโมยแพะชั้น 1 ของเขาไปขายให้พวกยักษ์ ซึ่งตอนนี้ขึ้นกับว่าเราเลือกอะไร จะจ่าย 1000 เป็นค่าแพะ, จะไปตบยักษ์เอาแพะมาคืน หรือ จะกล่อมเลยก็ได้ เขาจะบอกว่าตอนเราเมาเราพูดเรื่องอะไรสักอย่างเกี่ยวกับ Ysolda ในเมือง Whiterun

ไปคุยกับ Ysolda คุณเธอจะทวงค่าแหวนแต่งงานที่เราต๊ะเอาไว้ตอนเมา ซึ่งเราจะจ่าย 2000 ค่าแหวน ไปตบ Hagraven ที่ Witchmist Grove เอาแหวนคืน หรือ จะกล่อมก็ได้ Ysolda จะบอกว่าเราพูดว่าจะต้องไปที่ Morvunskar

พอไปถึง Morvunskar ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเมือง Windhelm จะเจอศัตรูเยอะพอสมควร พอเราเข้าไปห้องในสุดจะเจอบอลแสง ให้เดินเข้าไปเราจะไปโผล่ที่ Misty Grove แล้วเจอคุณ Sam เจ้าปัญหากำลังสังสรรค์กับคนอื่นๆ หลังคุยกับสักพักคุณ Sam จะเผยตัวจริงว่าเขาคือ Sanguine (นี่ตูดวดเหล้ากะเทพปิศาจเรอะเนี่ย!?) หลังจากคุยเสร็จเขาจะให้คฑา Sanguine Rose มา แล้วจะวาร์ปเรากลับไปที่บาร์ที่เราเจอเขา (สรุปไม่มีอะไรเกิดขึ้น ใครเสียตังค์เสียฟรี โห...แสบจริง)

** คฑา Sanguine Rose แปลตรงๆเลยว่า กุหลาบสีแดงเข้ม

** ชื่อของคุณ Sam แบบเต็ม คือคำว่า Sanguine แบบออกเสียงยืดๆ (แซงก์กวิน = แซม กูเวน)

** ถ้าเราอัพ perk ของ Conjuration ที่ชื่อ Elemental Potency คฑา Sanguine Rose จะติดบั๊ก และจะใช้เรียกพวก Dremora ไม่ได้อีก

 

 

15. Sheogorath - Daedric Prince of Madness whose motives are unknowable

Sheogorath คือ เทพปิศาจแห่งความบ้า ไม่ได้ประชด แต่บ้าจริงๆ ชนิดที่ว่าทำอะไรก็บ้าโรคจิตไปหมด เอาแน่เอานอนไม่ได้เลย ยิ่งกว่าสติเฟื่อง (แต่คุยรู้เรื่อง) แต่ Sheogorath ก็เป็นเทพปิศาจที่มีที่มาชัดเจนด้วย

ในอดีต ว่ากันว่า Sheogorath คือ Daedric Prince แห่งกฎระเบียบนามว่า Jyggalag แต่เนื่องจากเขามีอำนาจบาตรใหญ่มาก Daedric Prince อื่นๆที่อิจฉาเลยสาปให้เทพปิศาจ Jyggalag กลายเป็นสิ่งที่เขาเกลียดที่สุดซึ่งก็คือความบ้า ไร้กฎ และ เอาแน่เอานอนไม่ได้ ซึ่งก็คือ Sheogorath แต่เรื่องก็ยังไม่จบ เพราะยังมีวังวนที่ไม่มีวันจบอยู่คือ ทุกๆปลายยุคสมัยเทพปิศาจ Sheogorath จะกลับเป็น Jyggalag รวบรวมดินแดนทั้งหลายให้เป็นปึกแผ่น แต่จากนั้นก็จะกลายเป็น Sheogorath นำพาความบ้าสู่อาณาจักรที่ตนเองรวบรวมขึ้นมา จนกระทั่งปลายของ Third Era (~ประมาณ 200 ปีก่อน Skyrim) ที่ผู้กล้าแห่ง Cyrodil ปราบ Sheogorath แล้วรับคำสาปไปแทนกลายเป็น Sheogorath องค์ใหม่ ส่วน Jyggalag ก็กลับไปเป็นเทพแห่งกฎเหมือนเดิม (และนั่นคือ Sheogorath ในปัจจุบัน)

อาณาเขตของ Sheogorath คือ Shivering Isle บางครั้งก็เรียกว่า Madhouse แบ่งเป็น 2 ส่วน ครึ่งทางเหนือเรียกว่า Mania ซึ่งรวมทุกอย่างที่เป็นฝั่งความใจดีของ Sheogorath มีทิวทัศน์สวยงาม แต่อักฝั่งนึงที่เรียกว่า Dementia ทางใต้นั่นรวมทุกอย่างที่เป็นด้านมืดของ Sheogorath ทั้งมืดมนและคับแคบ อาณาจักรของ Shrogorath มีเมืองหลวงด้วยชื่อ New Sheoth อยู่ทางตะวันออกของเกาะ ครึ่งเมืองอยู่ฝั่งเหนือ ครึ่งเมืองอยู่ฝั่งใต้ และชื่อ Bliss กับ Crucible ตามลำดับ

Daedric Quest: The Mind of Madness (ไม่จำกัดเลเวล)

Daedric Artifact: Wabbajack

บทสรุปเควส The Mind of Madness

ให้ไปคุยกับ Dervenin ซึ่งมักจะเดินไปเดินมาแถวๆใกล้ๆวิทยาลัย Bards College คุยเสร็จเขาจะเขาให้เราช่วยกล่อมให้เจ้านายเขาเลิกพักร้อนซะที แล้วจะบอกว่านายเขาอยู่ใน Pelagius Wing ของวัง Blue Palace แล้วจะให้ Pelagius's Hip Bone มา

ให้เราไปคุยกับ Una แล้วจะได้กุญแจมา ให้เข้าไปใน Pelagius Wing แล้วเดินไป จะเจอคัทซีนแล้วเราจะมาโผล่ที่ลานกว้างที่ Sheogorath กำลังเมาท์กับ Pelagius III อย่างเมามัน ให้คุยกับ Sheogorath เลือก "I'm here to deliver the message" จากนั้นจะมีตัวเลือกอีก เสร็จ Sheogorath จะเล่นเกมกับเรา แล้วให้เราถือคฑา Wabbajack แก้ปริศนาในนี้ ซึ่งจะแบ่งเป็น 3 ทาง โดยมีโต๊ะอาหารเป็นศูนย์กลาง เราต้องแก้ให้หมดทั้ง 3 ทาง

  • ทางนึงจะมีผู้ชาย 2 คน คนนึงจะพยายามต่อยอีกคน และ อีกคนจะไม่ตอบโต้ ให้ใช้ Wabbajack ยิงคนที่ต่อยอยู่ให้ตัวเล็กที่สุดที่เป็นไปได้ และยิงให้คนที่ไม่ตอบโต้ตัวใหญ่ที่สุดที่เป็นไปได้ ก็จะผ่านตรงนี้ (ระหว่างยิงจะมีตัวละครผีๆโผล่มา ไม่ต้องสน ยิง 2 คนหลักไปเลย)
  • อีกทางนึง จะมีเตียงที่มีคนนอนอยู่ ให้ยิง Wabbajack ใส่คน แล้วจะมีศัตรูโผล่มา ให้ยิงศัตรูให้หมด จะมีหมาป่า, หัวหน้าโจร, Hagraven, Atronach, Dragon Priest แล้วจะผ่าน (ศัตรูโผล่ทีละตัว)
  • อีกทางจะเป็นสนามประลอง ในสนามจะมี Atronach 2 ตัวตบกัน ไม่ต้องสนใจ ยิง Wabbajack ใส่คนดูในอัฒจันทร์ ซึ่งจะกลายเป็นหมาป่า แล้วยิงหมาป่าอีกทีก็จะผ่าน

กลับไปคุยกับ Sheogorath เลือก "I've done it. I've fixed Pelagius's mind." จากนั้นดู Sheogorath พล่ามไปสักแปป แล้วเขาจะกลับไปแต่โดยดี โดยจะยก Wabbajack ให้เรา แล้ววาร์ปเรากลับไปที่ Pelagius Wing

 

 

16. Vaermina - Daedric Prine of dreams and nightmares, and from whose realm issues forth evil omens

Vaermina คือ เทพปิศาจแห่งความฝัน และ ฝันร้ายทั้งมวล และมักจะตามมาด้วยความชั่วร้ายซะอีก ว่ากันว่า Vaermina ชอบแอบดูฝันคน โดยไม่รู้ว่าเอาไปทำอะไรกันแน่

อาณาเขตของ Vaermina ชื่อ Quagmire ซึ่งเป็นดินแดนแห่งฝันร้าย ที่สภาพทิวทัศน์เปลี่ยนแทบทุกวินาที และน่ากลัวมากขึ้นทุกทีด้วย

Vaermina สร้างศัตรูเยอะ อาจจะเพราะนิสัยชอบเจือกความฝันคนอื่น ทั้ง Boethiah, Peryite รวมถึง Hermaeus Mora ต่างก็ไม่ชอบหน้า Vaermina แต่ดูเหมือน Sanguine จะชอบ

Daedric Quest: Waking Nightmares (ไม่จำกัดเลเวล)

Daedric Artifact: Skull of Corruption

บทสรุปเควส Waking Nightmares

ให้เดินทางไปที่โรงแรม Windpeak Inn ในเมือง Dawnstar จะเจอเหตุการณ์ที่พระชื่อ Erundur คุยกับคนอื่นในโรงแรมเรื่องฝันร้ายที่หลอกหลอนคนท้องถิ่น ให้คุยกับ Erundur แล้วเขาจะขอให้เราช่วย

เขาจะเดินนำเราไปที่วิหาร Nightcaller Temple ให้คุยกับเขาก่อนเข้าวิหาร แล้วเดินตามเข้าไป จากนั้นให้ตาม Erundur ไปเรื่อยๆ แล้วเราจะพบว่าทางไปต่อมันโดนสนามพลังขวางไว้ แล้วเราจะต้องไปห้องสมุดซึ่งอยู่อีกทางเพื่อหาเบาะแสไปต่อ เดินตาม Erundur ไป แล้วคุยกับเขา เขาจะให้เราช่วยหาหนังสือ "The Dreamstride" (มันจะวางหลบมุมอยู่บนชั้น 2) ให้หยิบหนังสือมาให้เขา แล้วเขาจะเดินนำไปที่ห้องทดลอง ซึ่งเราจะต้องหาขวดยา Vaermina's Torpor (วางอยู่บนชั้น เป็นขวดสีดำๆ ถ้าเปิดมาร์กเกอร์มันจะชี้ไปที่ขวดเลย) ให้หยิบยามาให้ Erundur แล้วเขาจะบอกให้เรากินยาซะ จากนั้นจะเป็นคัทซีน แล้วเราจะต้องเล่นเป็นนักบวชในวิหารนี้ ให้เดินไปตามทางไปสับสวิทช์ แล้วเราจะกลับมาเป็นตัวเรา และยืนอยู่หน้าสวิทช์ ให้สับสวิทช์เพื่อปิดม่านพลังซะ คุยกับ Erundur แล้วเราจะต้องไปต่อ ให้ตาม Erundur ไปจนถึงห้องในสุด หลังบทสนทนาสั้นๆ และ จัดการศัตรูแล้ว Erundur จะทำพิธีเพื่อลบล้างคำสาปของกะโหลก Skull of Corruption ซึ่งตอนนี้เราจะได้ยินเสียงของ Vaermina ในหัว แล้วเราจะเลือกได้ว่าจะฆ่า Erundur หรือไม่

  • ถ้าฆ่า เราจะได้ Skull of Corruption มาใช้ (ถือเป็น 1 ใน Daedric Artifact ส่วนหนึ่งของ Achievement / Trophy "Oblivion Walker")
  • ถ้าไม่ฆ่า Skull of Corruption จะหายไปตลอดกาล และ จะสามารถเอา Erundur มาเป็นผู้ติดตามได้

 

 

* เพิ่มเติม * ตารางสรุป Daedric Artifact

ชื่อ Atk Def หนัก คุณสมบัติ
Azura's Star - - 0 เหมือน Grand Soul Gem แต่ไม่มีวันแตก
Black Star - - 0 เหมือน Black Soul Gem แต่ไม่มีวันแตก
Ebony Mail
* เกราะหนัก
- 45 28
สามารถเคลื่อนไหวได้เงียบกว่าเดิม และ ศัตรูที่เข้าใกล้(มากเกิน) จะเจอเดเมจพิษ 5 แต้มต่อวินาที
Masque of Clavicus Vile
* เกราะหนัก
- 31 7
ซื้อขายของได้ราคาดีขึ้น 20% และ ฟื้น Magicka ไวขึ้น 5%
Oghma Infinium
** หนังสือ
- - 1
+5 ให้กับทุกสกิลสายใดสายหนึ่ง
Savior's Hide
* เกราะเบา
- 26 6
เพิ่มพลัความต้านทานเวทย์ 15% และ ป้องกันพิษ 50%
Ring of Hircine - - 0.25
ทำให้สามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์หมาป่าได้หลายครั้งต่อวัน
 
** ต้องเป็นมนุษย์หมาป่าเท่านั้นถึงจะมีคำสั่งแปลงร่าง แหวนนี้ไม่ได้ทำให้คุณเป็นมนุษย์หมาป่านะคะ
Volendrung
* ค้อนศึก
25 - 26
เวลาโจมตีจะดูด Stamina จากศัตรูมาเพิ่มให้เราครั้งละ 50 แต้ม
Mehrunes' Razor
* มีด
11 - 3 มีสิทธิ์โจมตีครั้งเดียวศัตรูตาย แต่โอกาสต่ำ
Ebony Blade
* ดาบสองมือ
11 - 10
เวลาโจมตีจะดูด HP จากศัตรูมาเพิ่มให้เราครั้งละ 10-30 แต้ม
(ทุกครั้งที่เราฆ่า NPC ที่เป็นมิตรกับเรา 2 ตัว พลังดูด HP จะเพิ่มครั้งละ 4 โดยสูงสุดที่ +30)
Dawnbreaker
* ดาบมือเดียว
12 - 10 ทุกครั้งที่ฟันจะมีเดเมจไฟ 10 แต้ม และมีโอกาสที่พอเราฆ่าอันเดด อันเดดตัวนั้นจะระเบิดทำเดเมจให้กับอันเดดตัวอื่นที่อยู่ใกล้ๆ
Mace of Molag Bal
* กระบอง
16 - 18 เวลาโจมตีจะมีผลทำให้ศัตรูเสีย Magicka และ Stamina อย่างละ 25 แต้ม และถ้าตายใน 3 วินาที จะเก็บวิญญาณลง Soul Gem ด้วย
Ring of Namira - - 0.25 +50 Stamina สูงสุด และทำให้เวลากินศพฟื้น HP ได้มากขึ้น และ ไวขึ้น
Skeleton Key - - 0.5 มันคือ Lockpick ที่ไม่มีวันหัก
Spellbreaker
* โล่
- 38 12 เมื่อยกขึ้นกัน จะกางเวทย์ Ward ที่ลดเดเมจจากเวทย์ลงได้ 50 แต้ม
Sanguine Rose
* คฑา
0 - 10
สามารถเรียก Dremora มาช่วยสู้ได้เป็นเวลา 1 นาที
** ถ้าอัพ perk "Atromancy" ของสาย Conjuration คฑาจะติดบั๊กใช้ไม่ได้ทันที แต่สามารถแก้ได้ด้วยการลง mod นี้
Wabbajack
* คฑา
32 - 10 คาถาที่ยิงออกมาไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น
Skull of Corruption
* คฑา
2 - 10 ปกติทำเดเมจ 20 แต่สามารถเพิ่มเป็น 50 ได้หากได้พลังจากฝันของคน (คาดว่าต้องฆ่าขณะหลับถึงจะนับ)

 

 

เอนทรี่ว่าด้วย Daedric Quest และ Daedric Artifact จบเพียงเท่านี้

โชคดีกับการไล่ล่าหาศิลปวัตถุของเทพปิศาจทั้งหลายนะคะ

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น